วันเสาร์ที่ 29 กันยายน พ.ศ. 2555

มาดามมด


ประวัติฉบับย่อๆของมาดามมด
มด หรือ ที่เพื่อนๆ Sanook! Campus รู้จักกันในนาม มาดามมด จบการศึกษาระดับมัธยมที่โรงเรียนเตรียมอุดมศึกษา หลังจากนั้นพี่แกก็สอบเอ็นทรานซ์เข้าศึกษาต่อที่คณะนิเทศศาสตร์ ภาควิชาวาทวิทยาและสื่อสารการแสดง จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย หลังจากศึกษาเล่าเรียนจนจบ มาดามมดก็เริ่มทำงานจริงจังกับการเป็นคุณครูสอนการแสดงเด็กๆ (เพราะมาดามมดตกหลุมรักศาสตร์ของการแสดงมาตั้งแต่เด็กๆแล้ว) แต่ทำได้สักพัก แกก็เปลี่ยนงานจากคุณครูสอนการแสดงมาเป็นคุณครู(วิชาการ)แบบเต็มตัว โดยมาดามมดสอนวิชาสอนวิชาคณิตศาสตร์และภาษาอังกฤษในระดับประถมถึงมัธยมปลาย
แต่แล้วชีวิตของมามาดมด ก็มาถึงจุดเปลี่ยนเมื่อมาดามมดเลือกที่จะลาอออกจากการเป็นครู ส่วนสาเหตุก็เพราะลึกๆแล้วมาดามมดคิดว่าอาชีพครู เป็นอาชีพที่ดีมากและการเป็นคุณครูที่ดีก็เป็นเรื่องที่ยากมากๆเช่นเดียวกัน (มาดามมดคิดว่าตัวเองยังดีไม่พอที่จะเป็นครูประมาณนี้)
รายการภาษา Plaza
รายการ ภาษา Plaza เป็นรายการที่จะนำเสนอคำศัพท์มาแรงของวัยรุ่น พร้อมคำอธิบายในสไตล์ไม่ซ้ำใครรายการนี้มีสโลแกนโดนๆที่ว่า แหล่งรวมความบันเทิงทางภาษา ที่จะพาทุกคนไปซ่ากับภาษาให้ฮากระจาย จุดเริ่มต้นที่ได้เข้ามาทำงานในส่วนนี้มาดามมดเล่าว่า เนื่องจากช่อง Play Channel มีความคิดว่าอยากทำรายการ เกี่ยวกับสอนภาษา ด้วยความที่มาดามมดชอบภาษาและใฝ่หาความรู้ใหม่ๆ อยู่เสมอ ทาง Play Channel เลยเห็นว่ามาดามมดเหมาะที่จะมาทำหน้าที่พิธีกรของรายการ ช่วงแรกถ้าใครได้ชมรายการภาษา Plaza จะทราบว่ามาดามมดไม่ได้ฮาและกล้าแสดงออกขนาดนี้ แต่เมื่อออกอากาศก็เริ่มมีการปรับรูปแบบโดยใส่ความเป็นตัวเองเข้าไปมากขึ้นเน้นความบันเทิงผสมสาระ จึงทำให้มีรูปแบบอย่างที่เราเห็นกันทุกวันนี้
ปล.จริงๆแล้วมาดามมดไม่ได้ กระโหลก กะลา ปลากระป๋อง ตลกไปวันๆอย่างที่หลายคนคิดนะ เพราะมาดามมดเป็นเด็กเรียนตั้งแต่สมัยเรียนที่โรงเรียนเตรียมอุดมศึกษาแล้ว พอเข้าศึกษาต่อที่จุฬาฯแกก็เป็นเด็กกิจกรรมตัวยงเลย ไม่แปลกใจเลยที่ตอนนี้ใครๆ ก็ชื่นชอบ มาดามมด ก็ต้องบอกว่ามาดามมดคนนี้ เป๊ะอ่ะ -*-

...สวัสดีค่ะ พบกับดิฉัน “มาดามมด” และ “ภาษาพลาซ่า” (ส่ายหน้าอก 2-3 ทีตามคอนเซ็ปต์) แหล่งรวมความบันเทิงทางภาษา ที่จะพาคุณไปซ่ากับภาษาให้ฮากระจาย (หัวเราะคิกๆ) วันนี้ขอเสนอคำว่า “มา-ดาม-มด”... อ้ะ! งงๆ (ชี้หน้าส่งสายตาหยอกเย้า) แต่อย่าเพิ่งเอ๋อเหรอกันไป เพราะช่วงเวลาต่อจากนี้ คุณจะได้รู้จักตัวจริงของผู้หญิงที่แปลกที่สุดในวงการกันแล้วค่ะ (ดนตรีโหมโรงพร้อมเสียงปรบมือเกรียวกราว)...
       
       ถ้าเคยคลิกดูผลงานของเธอ อย่างน้อยๆ สักตอน 2 ตอนทางช่องเพลย์แชนเนล คุณจะยิ้มไปกับย่อหน้าข้างบนได้อย่างอัตโนมัติ เพราะนึกภาพออกว่าบุคลิกของคนพูดจะแปลก ฮา แต่ “น่าร็อกอะ” ขนาดไหน เธอคือคนที่ทำให้ถ้อยคำธรรมดาๆ จากปากใครต่อใคร กลายเป็นคำฮิตติดหูได้ด้วยโทนเสียงขึ้นๆ ลงๆ แบบมีสไตล์ ท่าประกอบสุดพิสดารเกินคำบรรยาย รวมถึงมัดกล้ามเนื้อบนใบหน้าซึ่งแสดงอารมณ์ต่างๆ ออกมาได้อย่างสุดซึ้ง จนต้องทึ่งว่า นี่คือมนุษย์จริงหรือ? 
       และแน่นอนว่าคำตอบคือเธอเป็นมนุษย์คนหนึ่ง ซึ่งมีความเป็นมนุษย์ในมุมที่น่าสนใจยิ่งกว่ามนุษย์ทั่วๆ ไปเสียอีก
       


       
       เมื่อ “มาดาม” คุยกับ “มด”
       ก่อนอื่นต้องแยกให้ออกว่า “มาดามมด” กับ “มด” คือคนละคนกัน ถึงแม้จะแชร์พื้นที่กายอยู่ในร่างของคนคนเดียว แต่นิสัยจริงๆ กลับต่างกันคนละขั้ว “แทบจะเรียกว่าเป็นคนละคนกันเลย ถ้าถามว่าตอนนี้กำลังนั่งคุยกับใครอยู่ ก็ต้องบอกว่าเป็น “มด” นะ ไม่ใช่ “มาดามมด” เอ...นี่อยากจะคุยกับมาดามมดหรือเปล่า?” สาวแกร่งกะพริบแพขนตาอันหนักอึ้งของเธออย่างช้าๆ ก่อนหันมาขอคำตอบที่ชัดเจนจากคู่สนทนาอีกครั้งด้วยรอยยิ้มบางๆ เมื่อพบว่าอีกฝ่ายต้องการรู้จักคนหลังกล้องมากกว่าตัวตนเบื้องหน้า เธอจึงเริ่มวิเคราะห์ความแตกต่างให้ฟังอย่างละเอียด
        
       
       “ถ้าให้มดพูดถึงมาดามมด มดชื่นชมตัวเขานะ เพราะเขาเป็นคนสดใสร่าเริง เป็นคนน่ารัก แต่ตัวมดเอง ตัวจริงของเราจะค่อนข้างขัดแย้งกับมาดามมด เพราะเราเป็นคนเรียบร้อย ไม่ค่อยพูด แล้วก็ไม่ค่อยยิ้มแย้มด้วย จะชอบนั่งเฉยๆ เงียบๆ คือมดเองก็เป็นคนมีอารมณ์ขันอยู่ข้างในนะ แต่แค่เป็นคนขี้อาย” สรรพคุณที่บรรยายมาทั้งหมด ทำเอาคนฟังแทบขำกลิ้ง นึกว่าถูกหยอดมุก ที่ไหนได้เธอเป็นแบบนั้นจริงๆ
        
       
       “ถามว่าสิ่งที่ทำอยู่ทุกวันนี้มันแปลกไหม ก็ถือว่าแปลกนะ (หัวเราะเบาๆ) ตอนที่เราเป็นมดแล้วมองดูมาดามมด ยังรู้สึกทึ่งเลยว่าเขาทำได้ยังไง คือเขาเป็นคนน่ารักแต่แปลกมาก แปลกตั้งแต่การแต่งตัว การพูดจา การวางตัว จะบอกว่ามาดามมดคือรูปแบบของการเสแสร้งหรือเป็นการแสดงก็ไม่ใช่นะ เขาเหมือนตัวตนอีกด้านหนึ่งในโลกจินตนาการของเรามากกว่า พอนับ 5-4-3-2 ปุ๊บ เราก็พร้อมจะเปลี่ยนเป็นมาดามมดทันที แต่พอสั่งคัต กลับมาเป็นมด บางครั้งก็แอบรู้สึกอายๆ เหมือนกัน คือเราไม่ได้อายเพราะคิดว่าทำสิ่งที่แย่ลงไป แต่เป็นเพราะพื้นฐานเราเป็นคนขี้อายอยู่แล้ว” 
        
       คนส่วนใหญ่ที่ไม่เคยพบหน้าพูดคุยกันจริงๆ จังๆ มักจะเอาตัวตนของ “มาดามมด” มาปะปนกับ “มด” และเข้าหาเธอด้วยวิธีตลกโปกฮาตลอดเวลา ซึ่งตัวมดเองก็เข้าใจดี เนื่องจากรายการส่วนใหญ่ที่เชิญเธอไปเป็นแขก นิยมให้นำเสนอตัวตนในเวอร์ชั่นมาดามมากกว่าจึงมีโอกาสเพียงน้อยนิดเหลือเกินที่จะได้สัมผัสตัวตนจริงๆ ของ “มด” บัณฑิตคณะนิเทศศาสตร์ เอกวาทวิทยาและสื่อสารการแสดง จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย คนนี้
       
       

       The Amazing Mod! 
       ทำรายการมาได้ปีกว่าๆ ผลิตคลิปฮาๆ ออกมาได้เป็นร้อยๆ แถมแต่ละคลิปล้วนมียอดวิวสูงถึงหลักแสนเฉียดล้านทั้งนั้น ด้วยความนิยมอันล้นหลามจึงสร้างโอกาสให้ “ภาษาพลาซ่า” ขยายสเกลเป็นรายการ “The Amazing Mod” โดยเพิ่มช่วง “Mod's Diary” ตามติดชีวิตเบาๆ ของเธอ และ “มาดามมด เธียเตอร์” ให้แฟนๆ ได้เสพความฮาผ่านบทบาทการแสดงกันอย่างเต็มอิ่ม โปรเจกต์เยอะขนาดนี้ พูดได้เต็มปากว่าไม่มีใครไม่รู้จักมดแน่ๆ นอกเสียจากคนคนนั้นจะเปิดคอมพ์ไม่ได้ เล่นอินเทอร์เน็ตไม่เป็น 
        
       
       ว่าแล้วจึงลองให้เจ้าตัววัดความดังของตัวเองกันบ้าง คนถูกถามถึงกับร้อง “โอ้โห!” ด้วยสีหน้าเอียงอาย นิ่งคิดนิดหนึ่งแล้วสวมวิญญาณตอบตามสไตล์มาดามว่า “ถ้าให้ตอบแบบดารา ก็คงไม่ขนาดนั้นหรอกเค่อะ (ทำเสียงแอ๊บแบ๊ว)” เชื่อแล้วว่าเธอเกิดมาเพื่อเอนเตอร์เทนจริงๆ หลังจากปล่อยให้เสียงหัวเราะในวงสนทนาสิ้นสุดลง มดจึงเริ่มเข้าสู่โหมดจริงจัง
        
       
       “อาจจะเป็นเพราะตัวคอนเทนต์มันโดนใจวัยรุ่นด้วยแหละ แล้วก็ได้โซเชียลเน็ตเวิร์กมาทำให้รายการกระจายไปเร็วมาก ถือเป็นข้อดีมากๆ ของสังคมแห่งการแชร์ทุกวันนี้ แต่จะว่าไปมันก็ขึ้นอยู่กับว่าเรานำเสนอเรื่องอะไรด้วย ถ้าเป็นเรื่องดีๆ แล้วถูกแชร์กันไปในวงกว้าง มันก็ดีไป แต่ถ้าเป็นเรื่องที่ไม่ดี มันก็ไปได้เร็วเหมือนกัน สำหรับมดแล้ว คิดว่าถ้าเรามีความคิดสร้างสรรค์ ตั้งใจดีที่จะนำเสนอเรื่องดีๆ ต่อสังคมแล้วมันประสบความสำเร็จ ก็ถือว่าเป็นช่องทางที่ดีมากๆ เลย
        
       
       “ในตอนแรกที่รวมตัวกันทำรายการกับเพื่อนๆ เราไม่เคยมองเรื่องของปลายทาง เรื่องความโด่งดังหรือชื่อเสียงเลย อันนี้ไม่ได้ตอบแบบสร้างภาพนะ แต่ทุกครั้งที่ลงมือทำอะไร เราจะทำอย่างเต็มที่ ทำให้ดีที่สุด ถามว่าคิดไหมว่าจะเป็นที่รู้จักขนาดนี้... ไม่เลย ตอนนั้นคิดแค่ว่าจะทำรายการออกมายังไงให้ดูเป็นตัวเรามากที่สุด แล้วเราก็ไม่ได้คิดว่าความคิดของเราฉีกไปกว่าใคร แค่เลือกทำในสิ่งที่ถนัด สิ่งที่เราชอบ รู้ว่าตัวเองชอบด้านภาษา แล้วก็มีชีวิตคลุกคลีกับวัยรุ่นมาเยอะ รู้ว่ามันมีมุมไหนบ้างที่ดูมีสีสัน ลองหยิบสิ่งใกล้ตัวจากประสบการณ์ชีวิตของเรามาทำ มันก็เลยออกมาเป็นแบบนี้” มดส่งรอยยิ้มหวานๆ แทนเครื่องหมายปิดประโยค
        
       
       นึกภาพไม่ออกเลยว่าถ้ารายการของเธอไม่ได้พื้นที่บนทีวีออนไลน์ แต่มาอยู่ในฟรีทีวีแทน มาดามมดที่เราเห็นกันอยู่ทุกวันนี้จะหน้าตาเป็นแบบไหน จะยังเรียกเสียงฮาด้วยหน้าตาท่าทางแปลกๆ แบบนี้ได้อีกหรือเปล่า ไม่มีใครรู้ แต่ที่เธอรู้คือ “ความรับผิดชอบต่องานที่ทำ” คือข้อสำคัญที่สุดสำหรับคนทำสื่อ
        
       “ข้อดีของทีวีออนไลน์น่าจะเป็นความอิสระ มันมีกรอบน้อยกว่า แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าจะสามารถทะลึ่งตึงตังหรือหยาบคายได้มากกว่านะ ในความรู้สึกมด แค่มองว่าอาจจะนำเสนอได้หลายรูปแบบมากกว่า เราเองก็พยายามสร้างสรรค์ผลงานออกมาให้เต็มที่ที่สุด มากกว่าจะเน้นให้โด่งดัง คนอาจจะมองว่าเราพยายามแต่งตัวให้แปลก แต่งตัวให้แรง ให้คนสนใจ แต่จริงๆ แล้วยังมีอีกหลายๆ เรื่องที่เราคิดและอยากจะสื่อ ไม่อยากให้มองแค่ว่ามาดามมดฮา อยากฮาแบบนี้ได้บ้าง อยากพูดตามหรือติดขนตาหนาๆ ตาม ถ้าเป็นไปได้ก็อยากให้คนที่ดูงานของเราได้อะไรกลับไปจริงๆ อาจจะเป็นสิ่งที่ไม่ค่อยได้เห็นกันในรายการก็ได้”
        
       “คนอาจจะมองเห็นเราว่าเป็นคนมอบความบันเทิง แต่เวลาเราไม่ได้อยู่หน้ากล้อง ไม่ได้ถ่ายรายการ แล้วมีโอกาสพูดคุยทำความรู้จักตัวตนจริงๆ กันแบบนี้ มดจะบอกเสมอว่าการได้มาอยู่ตรงนี้เป็นโอกาสที่ดีที่ทำให้เราได้ทำอะไรหลายๆ อย่างเพื่อสังคมมากขึ้น ใจจริงแล้วอยากเห็นคนในสังคมมีธรรมะในใจกันเยอะๆ นะ แต่กว่าเราจะสื่อเรื่องนี้ออกไปได้ คิดว่าคงต้องใช้เวลาอยู่เหมือนกัน อย่างตัวมดเองทุกวันนี้อาจจะไม่ได้เข้าวัดบ่อยๆ แต่พูดได้เลยว่าเราปฏิบัติเป็นชีวิตประจำวัน คือหาเวลา “เจริญสติ” อยู่ตลอด จากแต่ก่อนที่เป็นคนเซนซิทีฟมากๆ อารมณ์ศิลปินจัด พอปฏิบัติแล้วก็ดีขึ้น ควบคุมความรู้สึกได้มากขึ้น อะไรปล่อยได้ก็ปล่อยไป ยึดไว้ทุกอย่างก็หนักเปล่าๆ” ได้รู้จักตัวตนของเธอในมุมนี้ ช่างเหมาะกับคำว่า Amazing จริงๆ
       
       

       
       เพศที่สาม+ความฮา = ไร้สาระ?
       หัวเราะหึหึ หัวเราะฮ่าฮ่า ไปจนถึงขั้นฮาน้ำตาเล็ดน้ำตาร่วง ทั้งหมดคืออาการระหว่างดูรายการของมาดามมดทั้งสิ้น ถ้าลองหยิบเทปปัจจุบันไปเทียบกับฉบับแรกๆ จะพบว่ายุคหลังๆ ไม่เน้นเรื่องสาระน่ารู้มากนัก แต่หนักไปทางฮากระจายเสียมากกว่า จนแฟนรายการหลายรายเริ่มตั้งคำถามว่าตกลงแล้วจะเน้นขายหัวเราะ เรียกเสียงฮาอย่างเดียวใช่หรือไม่ หนักข้อหน่อยก็ถูกวิพากษ์วิจารณ์ว่า “ไร้สาระ” เกี่ยวกับเรื่องนี้ มดในฐานะพิธีกรและหนึ่งในคนคิดคอนเทนต์ได้แต่ยิ้มบางๆ แล้วให้คำตอบอย่างนอบน้อมและใจเย็น
        
       
       “หลายคนจะชอบคิดว่ารายการของเราเป็นรายการสอนภาษา ซึ่งจริงๆ แล้วมันไม่ใช่เลยนะ เพราะคอนเซ็ปต์ของรายการคือแหล่งรวมความบันเทิงทางภาษา ฉะนั้นสิ่งที่เราอยากมอบให้คนดูเป็นอย่างแรกเลยคือความบันเทิง ถ้าดูแล้วมีเสียงหัวเราะหรือรอยยิ้ม แสดงว่ามาถูกทางแล้ว เราไม่ได้คาดหวังว่าคนดูจะต้องได้รับสาระหนักๆ อะไรจากการดูรายการเรา แค่เขามีความสุขไปกับสิ่งที่เราเสนอไปให้ก็พอแล้ว เราก็รู้นะว่าวิธีนี้ไม่ใช่การแก้ปัญหาที่ถาวรหรอก แค่ช่วยให้คนลืมความเครียดได้ชั่วครั้งชั่วคราว แต่อย่างน้อย ในช่วงระยะเวลาสั้นๆ เราก็สามารถทำให้สุขภาพจิตของเขาดีขึ้นได้บ้าง อาจจะช่วยให้อะไรดีๆ เกิดขึ้นก็ได้” 
       รอยยิ้มที่ฉายบนใบหน้าบวกกับคำตอบละมุนหูที่ได้ฟัง ทำให้มองเห็นเธอคนนี้เป็นนางฟ้าไปแล้วชั่วระยะเวลาหนึ่ง
        
       
       เหรียญมันมองได้สองด้าน ไม่ว่าจะด้านดีหรือไม่ดี หรืออาจจะมองว่าเฉยๆ อย่างมดเองก็เชื่อว่าทุกคนมีอิสระทางความคิด มันก็จริงว่ารายการที่เราทำอยู่ อาจจะไม่ได้ให้อะไรแก่สังคมมากไปกว่าความบันเทิง บางคนอาจจะได้แค่เกร็ดความรู้เล็กๆ น้อยๆ กลับไป แต่อย่างน้อยๆ เราก็ไม่ได้ทำร้ายสังคม ถึงแม้บางครั้งจะนำเสนอบางเรื่องที่ดูไร้สาระ เสนอภาษาวิบัติจนเขามองกันว่ามันจะยิ่งวิบัติมากขึ้นไปอีกเพราะเราหรือเปล่า (หัวเราะ) แต่มดอยากให้มองเรื่องแบบนี้ในกรอบของคำว่า “กาลเทศะ” มากกว่า คือตัวเราเองไม่เคยต่อต้านพวกภาษาวิบัติที่เกิดขึ้นมาทั้งหมดในสังคม แต่ก็ไม่ได้ตั้งใจจะสนับสนุนให้ใช้กันมากขึ้นนะ ถ้าจะมีใครเอาศัพท์วัยรุ่นที่เรานำเสนอผ่านรายการไปใช้ ก็อยากให้ใช้ภายใต้คำว่ากาลเทศะ”
        
       
       เท่าที่พูดคุยกันมาได้พักใหญ่ๆ สามารถสัมผัสได้ไม่ยากว่ามดเป็นคนคิดบวกมากๆ คนหนึ่ง แต่ในสังคมที่เต็มไปด้วยผู้คนที่แตกต่างกันในรูปแบบต่างๆ ย่อมต้องมีกลุ่มคนที่คิดลบมากๆ อยู่เช่นเดียวกัน หลังจากเห็นบุคลิกตลกโปกฮาของเธอผ่านรายการยอดนิยมบนโลกออนไลน์ หนึ่งในนั้นอาจตีความไปแล้วว่ามัน “ไร้สาระ” เมื่อบวกกับความเป็นเพศที่สามที่มีอยู่ในตัวเธอคนนี้ด้วยแล้ว จึงอาจถูกนำมาเชื่อมโยงกัน จนนำไปสู่การมองอย่างเหมารวมว่า “เพศที่สามมักจะตลกโปกฮาและไร้สาระ” นั่นเอง และดูเหมือนว่ามดเองจะเคยชินกับการถูกตัดสินเช่นนี้แล้วเหมือนกัน
        
       
       เรื่องของ Stereotype หรือภาพจำของเพศที่สามที่คนทั่วๆ ไปมองตั้งแต่ไหนแต่ไร จะเป็นแนวตลกโปกฮาอยู่แล้ว แต่จริงๆ แล้วเพศที่สามก็เหมือนคนทั่วๆ ไป มีมุมอื่นๆ เหมือนๆ กัน ถ้าใครจะมองว่าเราเป็นเพศที่สามแล้วต้องตลกโปกฮา อยากให้เข้าใจว่าบุคลิกที่แสดงออกมามันคืออีกเรื่องหนึ่ง ส่วนเรื่องเพศมันก็คืออีกเรื่องหนึ่ง ไม่ใช่ว่าเพศที่สามต้องตลกหรือดูไร้สาระตลอด อีกอย่างต้องถามว่าสังคมให้พื้นที่เราได้แสดงออกมุมอื่นๆ ให้เห็นมากแค่ไหน พอเห็นในละคร เห็นในรายการก็จะต้องตลกตลอดเวลา เลยกลายเป็นภาพจำของคนไปแล้ว ที่พูดอย่างนี้ไม่ได้ตั้งใจจะเรียกร้องสิทธิ์อะไรนะ เพราะตัวมดเอง เราไม่ได้คิดอะไรมากอยู่แล้ว ที่ทำอยู่ทุกวันนี้ก็แค่ตั้งใจสร้างสรรค์ผลงานให้ดีที่สุด”
        
       
       ไม่มีแววขุ่นมัวในสีหน้า แววตา และน้ำเสียงของเธอแม้แต่นิดเดียว อาจเป็นเพราะมดค่อนข้างคุ้นชินกับการถูกเหยียดและล้อเรื่องเพศมาตั้งแต่ตอนเด็กๆ แล้ว จึงมีภูมิต้านทานในระดับดีมาก จนมองไม่เห็นสาระในเรื่องเหล่านี้
       
       “เราไม่ได้รู้สึกอะไรเลย จริงๆ นะ เป็นคนเข้าใจเรื่องแบบนี้อยู่แล้ว อาจจะเป็นเพราะผ่านเรื่องแบบนี้มาเยอะตั้งแต่เด็กแล้วมั้ง (ยิ้มบางๆ) จนรู้สึกว่ามันเป็นเรื่องปกติ สุดท้ายแล้วไม่ว่าจะสุขหรือทุกข์มันขึ้นอยู่กับตัวเรา ส่วนตัวมดเองก็ไม่เคยมองว่าใครแตกต่าง แต่ถ้าใครจะมองเราแบบนั้น ใครอยากจะแบ่งแยกคุณค่าความเป็นคนแบบนั้น ก็คงต้องปล่อยเขาไปแหละ ไม่เคยไปกำหนดว่าอยากให้ใครมองเราแบบไหน แล้วแต่เขาเลย แต่ถามว่าตัวเรามองตัวเองแบบไหน" 
       "เอาจริงๆ มดไม่เคยมองว่าเราเป็นเพศที่สามนะ ไม่ได้มองว่าเป็นผู้ชายหรือผู้หญิงด้วย ไม่ได้สนใจเรื่องนี้เลย ไม่มีคำจำกัดความอะไร รู้สึกว่าเราเป็นแค่คนธรรมดาคนหนึ่ง ” 
       

       
       
       
       ---ล้อมกรอบ---
       กว่าจะขึ้นแท่นเป็น “มาดาม” 
       ยังมีมุมลับๆ อีกมากมายที่หลายคนยังไม่รู้เกี่ยวกับมด เริ่มตั้งแต่เรื่อง “ชื่อ-นามสกุล” ที่เจ้าตัวไม่ยอมเปิดเผยกับสื่อไหน โดยเปิดใจว่าจริงๆ แล้วไม่มีอะไรมาก แค่อยากมีชื่อสวยๆ ที่ใช้เรียกในวงการให้เหมาะกับลุคมาดามมด ไม่อยากให้คนจำชื่อตามใบทะเบียนบ้านที่ฟังดูแมนเกินไป “เหตุผลเล็กๆ อีกมุมคือเราอยากให้ชีวิตส่วนตัวกับมาดามมดมันแยกกันชัดเจนด้วยค่ะ” 
        
       ส่วนข้อสงสัยที่ว่าเห็นทำตัวร่าเริงบนหน้าจอขนาดนี้ เคยเศร้ากับเขาบ้างหรือเปล่า? มดถึงกับพ่นหัวเราะออกมาแล้วตอบว่า “ก็ต้องมีสิ เราก็เป็นคนปกตินะ แต่ไม่ค่อยได้ร้องไห้เท่าไหร่หรอก เพราะไม่ใช่คนร้องไห้ง่ายๆ แต่ถ้าเป็นในอดีตก็อาจจะมีเรื่องความรักบ้าง ตามวัย” ว่าแล้วเธอก็เริ่มเท้าความสมัยหัวยังเกรียนให้ฟัง
        
       
       “ตอนเด็กๆ มันจะมีช่วงที่ไม่เข้าใจอยู่บ้าง รู้สึกเหมือนเราถูกปฏิบัติแตกต่างไป แต่โชคดีที่เรามีเพื่อนที่ดีและเราไม่ทิ้งการเรียน การที่เรามีหลักยึดในใจ รู้ว่ากำลังทำอะไรอยู่ ในเมื่อเป็นวัยเรียนต้องตั้งใจเรียน เพราะงั้นไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น เราเลยไม่ไขว้เขวออกนอกลู่นอกทาง ไม่เคยทำให้ที่บ้านต้องหนักใจเรื่องการเรียนเลย ที่สำคัญครอบครัวของมดเข้าใจ ไม่เคยต่อต้านในสิ่งที่เราเป็น แล้วตัวเราเองก็เข้มแข็งด้วยเลยทำให้เราเป็นเรามาจนถึงวันนี้ได้”
        
       
       “จริงๆ แล้วตัวมดเองไม่ใช่คนฮานะ แต่เป็นคนมีโลกส่วนตัวสูง บอกได้เลยว่าที่มีมุมที่เป็นมาดามมดตอนนี้ เป็นเพราะเรามีโลกส่วนตัวสูง มีจินตนาการอยู่ในโลกของตัวเอง ชอบอยู่คนเดียว ไม่ก็คุยกับสิ่งที่เขาคุยกับเราไม่ได้ อย่างน้องหมาน้องแมวที่บ้าน เพราะฉะนั้นโลกของเราก็จะเป็นอีกแบบหนึ่ง พูดได้เลยว่ามาดามมดเป็นโลกที่สร้างขึ้นมาจากจินตนาการล้วนๆ จริงๆ” 
       
       ทุกวันนี้ มดยอมรับว่าทำรายการมาหลายเทป มุกเริ่มซ้ำ ไฟเริ่มมอดลง แต่ก็ยังพยายามเติมแรงบันดาลใจจากสิ่งรอบข้างอยู่เสมอ ถ้าวันหนึ่งจะถึงเวลาที่ควรหยุด ก็คงต้องปล่อยมันไป “ไม่ว่าจะอาชีพไหน มันไม่มีอะไรที่คงทนถาวร มีขึ้นก็ต้องมีลง แต่สิ่งที่ยึดเราไว้คือความรักในสิ่งที่ทำและทำมันออกมาให้เต็มที่ที่สุด ตราบใดที่เรายังมีใจ มีไฟ เราก็ยังทำต่อไป แต่ถ้าวันหนึ่งหมดไฟแล้ว ก็คงไม่อยากจะยื้อไว้เหมือนกัน” 
       และถึงตอนนั้นหลายๆ คนต้องคิดถึงความน่ารักสดใสของ “มาดาม” ที่มีอยู่ในตัว “มด” แน่ๆ เลย
       
       ภาพโดย... พลภัทร วรรณดี
       ขอบคุณภาพจาก แฟนเพจ Madame Mod
       
       
       
       



ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น